เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๕ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันพระ วันพระผู้ประเสริฐ ถ้าบวชเป็นพระแล้วยังไม่ประเสริฐ หลวงตาท่านสอนว่า ถ้าพระเราถ้ายังทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้แล้วใครจะทรง พระเราต้องทรงธรรมทรงวินัย ถ้าทรงธรรมทรงวินัย เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อสำรอกเพื่อคายมันออก เพื่อสำรอกเพื่อคายมันออก สัจจะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะนั้นคือคุณงามความดีของเขา คุณงามความดีของเขานะ เอตทัคคะคือความถนัด พระอนุรุทธะถนัดอย่างไร พระอานนท์มีความถนัดอย่างไร พระอุบาลีมีความถนัดในเรื่องวินัย ความถนัดของเขา เขาเป็นพระอรหันต์นะ เขาประพฤติปฏิบัติสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้ว สำรอกคายกิเลสออกไปแล้ว แล้วความถนัดของเขาเพื่อเชิดชูศาสนาไง ค้ำจุนศาสนา เป็นเสาเอกแต่ละเสาๆ เพื่อค้ำจุนศาสนากันมา นั่นล่ะสมณศักดิ์ๆ เพราะคุณงามความดีของเขามันประจักษ์

แต่ของเรา ความดีของเรา ในสมัยปัจจุบันนี้อยากเป็น อยากได้ อยากดีกับเขา อยากได้สมณศักดิ์ อยากมีคุณงามความดี แล้วคุณงามความดีเหมือนทางโลกเลย ๒ ขั้น ๓ ขั้น แย่งกันชิงกัน ขโมยผลงานของกัน ไอ้นี่ขโมยทำไมผลงานของเขา ดูสิ มันเป็นความทุจริต ความทุจริตมันไม่มีความสุขหรอก แต่ความสุจริต ความสุจริตทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันต้องเป็นความจริงของมันวันยังค่ำ แต่ความดีสิ่งใดล่ะ

ความดีทางโลก ถ้าความดีทางโลก ความหยาบๆ ถ้าเอาเศรษฐีโลกไง เศรษฐีโลกเขาก็ต้องซื้อมรรคผลนิพพานไปหมดแล้วถ้าวัดกันด้วยจำนวนทรัพย์สินเงินทอง จำนวนทรัพย์สินเงินทองมันวัดได้โดยทางโลกไง แต่คุณงามความดี น้ำใจมันวัดได้ที่ไหน ดูสิ ดูเด็กกตัญญู ๗ ขวบ ๘ ขวบ มันวิ่งไปโรงเรียนกลับมาดูพ่อแม่มัน มันกลับมาดูน้ำใจของมัน อันนั้นมันยิ่งใหญ่ ชีวิต พ่อแม่อยู่บ้านๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วเด็กมันมาช่วย ช่วยเช็ด ช่วยทำให้ อันนั้นมันมีคุณค่า ถ้ามีคุณค่า นี่น้ำใจของเขา น้ำใจของเขา นั้นเป็นน้ำใจของโลก โลกชื่นชมเพราะมันเห็นไง

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน เวลาท่านทำความสงบของใจของท่าน เทวดา อินทร์ พรหมมาอนุโมทนานั่นน่ะ แต่เราไม่รู้ เรานอนอยู่ในบ้านนอนหลับสบาย แต่ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านพิจารณาของท่าน ท่านพยายามเผชิญกับกิเลสของท่าน เผชิญกับกิเลส เผชิญกับพญามารไง พญามารๆ เราก็ไปดูข้างนอก เราก็ไปดูว่าคนอื่น สังคมรังแกเรา สังคมบีบคั้นเราๆ

สังคมมันก็เป็นสังคม ถ้ามีสติปัญญามันอยู่ข้างนอก เห็นไหม รู้แจ้งโลกนอก-โลกใน ถ้าโลกในเราไม่รู้แจ้ง โลกนอกเราจะไปเอาชนะได้อย่างไร ถ้ารู้แจ้งโลกใน โลกใน ดูสิ เวลาภวาสวะ ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ทำลายชาติหมดแล้ว มันผ่านไปผ่านมาโดยที่ไม่ติดใครเลย โลกธรรม ๘ เสียงสรรเสริญเสียงนินทามันผ่านไปก็ผ่านมา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรับรู้นะ ท่านรับรู้ ดูสิ เดียรถีย์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบิณฑบาต ยังมีเวลาอยู่ จะไปสนทนาธรรมกับพวกนี้ นี่รับรู้ไง ไปแก้ไขเขา ไปแก้ไข ไปพยายามชักนำเขา ไปดึงเขาให้มาถูกทาง แต่ทิฏฐิมานะของเขาก็เป็นทิฏฐิมานะของเขานะ เห็นไหม

มันรับรู้ได้ รับรู้ ในเมื่อสอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วน ความเป็นอยู่ เศษส่วน ขันธ์ ๕ มันยังอยู่ ทุกอย่างมันยังอยู่ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดเพราะอะไรล่ะ สะอาดเพราะภวาสวะ พญามาร ได้ทำลายมารมันแล้ว ทำลายมารอย่างนั้น นี่คุณธรรมอย่างนี้ นี่พระแท้ๆ คุณธรรมถ้าเราประพฤติปฏิบัติกันเพื่อสำรอกเพื่อคายมันออก ไม่ใช่ธรรมะปอกลอก ถ้าธรรมะปอกลอกมันก็เอาแต่รูปแบบข้างนอกเท่านั้นแหละ มันติดไง มันติดพิธีกรรม

แต่พิธีกรรมมันก็ต้องเป็นแนวทาง เป็นเครื่องดำเนิน ถ้าเราไม่มีพิธีเลย เราไม่มีศีล เราไม่มีสมาธิ เราไม่มีปัญญา เราจะทำอย่างไร แต่ศีล สมาธิ ปัญญามันเป็นทางเดินใช่ไหม มัคโค ทางอันเอก มันเป็นเส้นทางการเดินใช่ไหม มันไม่ใช่มรรคไม่ใช่ผล แต่มันเป็นเส้นทางเดิน มันเป็นเส้นทางที่เราจะเข้าไปสู่หัวใจของเรา ถ้าเรามีสติ เรามีสติเราก็ยับยั้งไม่ไปตามกระแสโลก เรามีสติปัญญาเราก็แยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิดใช่ไหม ถ้าเราไม่มีสติ เขาชักนำไปอย่างไรมันน่าเชื่อนะ ทำไมคนมีศักยภาพทางสังคมขนาดนั้นเขายังลุ่มหลงหลงใหลไปขนาดนั้น

คนมีศักยภาพทางสังคม ศักยภาพทางสังคมมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง ศักยภาพทางสังคมมันก็โลกธรรม ๘ ไง สรรเสริญยกยอปอปั้นกันไง แต่ถ้ามีสติ มีสติ เราจะประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริง เราจะเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตามความเป็นจริง เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกสัมผัสได้ ความสัมผัสได้ ความจับต้องได้ด้วยหัวใจของเรา เราต้องการตรงนั้นที่มีคุณค่า

ข้าวของเงินทองใครก็อยากได้ ใครก็แสวงหา เขาแสวงหาด้วยความสุจริต สุจริตด้วยความเป็นธรรมาภิบาล ด้วยความเป็นธรรม มันสบายใจ มันจะนั่ง จะเดิน จะนอนมันสบายใจ เพราะมันถูกต้องดีงาม จะขุดคุ้ย มันมีเวรมีกรรมนะ ถ้ามีเวรมีกรรม ถึงเวลากรรมมันให้ผล คนเข้าใจผิด คนเข้าใจผิดเขาจะขุดคุ้ย ขุดคุ้ยมันก็สะอาด ยิ่งขุดคุ้ยมันยิ่งสะอาด แต่ถ้ามันไม่มีเวรมีกรรม เราทำคุณงามความดี ความสุจริตมันคุ้มครองเรา สิ่งนี้เราก็แสวงหาด้วยความสุจริตของเรา ถ้ามีความสุจริตของเรา เราจะมาเริ่มภาวนาแล้ว

เรามีสติมีปัญญา เรามีความเชื่อของเรา ภิกษุเราเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรม ถ้าไม่ทรงอรรถทรงธรรม ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ทรงไว้จะเอาอะไรสอนเขา ศีล สมาธิ ในตำราเขาศึกษามา เขาศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เขาศึกษามาเพื่อค้นคว้า ศึกษามาเพื่อทำความจริงให้เกิดขึ้นมา เราศึกษามาเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาการศึกษาเล่าเรียน มันไม่ผิดหรอก มันไม่ผิดเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เอตทัคคะ ดูสิ พระอานนท์เป็นผู้ทรงจำธรรม พระอุบาลีเป็นผู้ทรงจำวินัยมันผิดตรงไหนล่ะ เอตทัคคะทรงธรรมทรงวินัย ที่จดจำมา พระกัสสปะเป็นผู้สังคายนา เป็นประธานในการทำสังคายนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ แล้วเริ่มต้นจากไหนล่ะ ถ้าไม่เริ่มต้นจากผู้ที่ทรงจำมา ทรงจำมาแล้วมาวินิจฉัยกัน อะไรถูกต้อง อะไรไม่ดีงาม จนถามพระอานนท์ พระอานนท์บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ถ้ากาลอนาคต วินัยที่เล็กน้อยถ้ามันเข้ากับโลกไม่ได้ ถ้าจะแก้ไขก็แก้ไขได้

พระกัสสปะถามว่า แล้วมันเล็กน้อยแค่ไหนล่ะ

พระอานนท์บอกก็ไม่รู้

ก็เล็กน้อยแค่ไหนก็เล็กน้อย แล้วเล็กน้อยของใคร เล็กน้อยแค่ไหนล่ะ

ฉะนั้น พระกัสสปะก็เลยขอมติสงฆ์เถรวาท เถรวาท เถรวาทพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่ทำสังคายนามานี่เถรวาท เราถือตามนั้นมาไง พระกัสสปะขอมติจากพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ไงว่าในเมื่อพระอานนท์บอกว่าเล็กน้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าอนาคตกาล ถ้าวินัยที่เล็กน้อยที่มันเข้ากับสังคมไม่ได้จะยกบ้างก็ได้

แต่พระกัสสปะบอกว่า เวลาพวกอาจารย์ของเดียรถีย์ที่เขาเสียไป พระจุนทะไปเห็นเขาระส่ำระสายก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าลัทธิศาสนาอื่นเวลาศาสดาเขาเสียไป ทำไมเขาวุ่นวายกันไปหมดล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นี่ขาดวินัย ขาดธรรมขาดวินัย

พระจุนทะอาราธนาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกบัญญัติไม่ได้เพราะมันไม่มีเหตุมีผล จนพระสุทิน ภรรยามาขอ ขอพืช ขอผู้ทรง ตอนนั้นยังไม่มีวินัย ยังไม่มีข้อห้าม ทำไป แต่ทำแล้วก็เสียใจก็บัญญัติ บัญญัติมา บัญญัติเพราะมีต้นเหตุไง มีเหตุมีที่มา บัญญัติไว้ๆ ถ้าบัญญัติขึ้นมา พระจุนทะเป็นคนขอ เป็นคนขอว่าให้ความมั่นคงในพระพุทธศาสนา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป พระกัสสปะเห็นพระผู้เฒ่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปดีแล้วล่ะ เวลาอยู่คอยจี้คอยไชอยู่ ทำอะไรไม่สะดวกเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วมันก็สะดวกก็สบาย” นี่ขนาดบัญญัติไว้นะ พระกัสสปะได้ยินเข้ามันถึงสะเทือนใจมากไง พอสะเทือนใจมาก ทำสังคายนา ทำสังคายนารวบรวมธรรมวินัยที่พระอุบาลี พระอานนท์เป็นผู้ทรงจำไว้ แล้วพระกัสสปะบอกว่า ถ้าในเมื่อจะเล็กน้อยแค่ไหน มันวัดไม่ได้ว่าเล็กน้อยแค่ไหน

ฉะนั้น ถ้าเราว่าเล็กน้อย เราจะเปิดช่องไว้ ผู้ที่เขารู้เขาเห็นเขาก็จะบอกว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งปรินิพพานไป สาวก สาวก-สาวกะผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ฟังธรรม ได้อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังมาจากพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นพระอรหันต์เป็นแสนเป็นล้าน แค่นี้ก็รักษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ พระกัสสปะถึงขอมติ ขอมติในสงฆ์นั้นน่ะ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ว่าให้ตั้งญัตติขึ้นมาว่าพวกเราจะไม่กล่าวตู่พุทธพจน์ ไม่เติมสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ ไม่ตัดทอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ไม่ต่อเติม ไม่เพิ่มเข้าไป นี่ได้ลงมติไว้

นี่ไง สิ่งที่ว่าเล็กน้อยแค่ไหน นี่เวลาถามพระอานนท์ ถ้าต่อไปอนาคต เราเชื่อมา เราเชื่อสิ่งนี้มา เรามีศรัทธาความเชื่อของเรามา แล้วเรามาศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติๆ ศึกษาแล้วมันผิดตรงไหน แต่ศึกษาแล้วก็ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ เขาต้องเอาพระในใจไง ถ้าเราเป็นพระ เราพระจริงๆ ไง เราไม่ใช่พระปอกลอกไง ถ้าเอาพระขึ้นมาแล้วก็อ่อนแอไง ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีใครค้ำจุน ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีใครส่งเสริม ปฏิบัติแล้วก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจ

หลวงตาท่านออกธุดงค์ เวลาท่านเลือกนะ ท่านธุดงค์ผ่านบ้านไปบ้านใหญ่ บ้านใหญ่หมายถึง ๑๐ หลังขึ้น ไม่เอา เวลาบิณฑบาตเขาใส่บาตร แต่เวลาเสร็จแล้วเขาก็ต้องสนทนาธรรม เขาจะมากวน เอาบ้านน้อยๆ ๓ หลัง ๔ หลังก็พอ พระธุดงค์เขาธุดงค์อย่างนั้น เขาไปเพื่อความสงบสงัด เขาไปเพื่อค้นคว้า เขาไปเพื่อประพฤติปฏิบัติ เขาไปเพื่อความจริง เขาไม่เห็นน้อยเนื้อต่ำใจเลย ไอ้ของเราน้อยเนื้อต่ำใจนะ “โอ๋ย! ปฏิบัติแล้วก็ไม่มีใครสนใจนะ จะเผยแผ่ธรรม”...เผยแผ่ในใจของเราให้ก่อน

โลกใน ถ้าในโลกมันสงสัย โลกในมันไม่เข้าใจ ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ดีแล้ว ศึกษามาเป็นสุตมยปัญญา ตีความมันคลาดเคลื่อนไป ตีความตามแต่พญามารมันพอใจ นี่มันจะปอกลอกไง ปอกลอกแม้แต่ใจของตัว แล้วก็ไปปอกลอกข้างนอก นี่ธรรมะปอกลอก

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สำรอกให้คาย ให้คายครอบครัวมาร ครอบครัวของมาร ความขบความเมื่อย ความต่างๆ นี่เหลนมัน ความอึดอัดขัดข้องใจ นี่หลานมัน ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ลูกมัน แล้วความหลงผิด นี่พ่อมัน แล้วความเข้าใจผิด ความนึกไม่ได้ นั่นล่ะปู่มัน

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราทำความจริงขึ้นมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ความดีของใคร? ความดีของโลกเขา คนที่มีอำนาจวาสนา พระสีวลีสร้างบุญญาธิการมา เวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วลาภสักการะรององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุดมสมบูรณ์ พระอรหันต์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว สิ้นสุดแห่งทุกข์ขึ้นไปแล้ว ขาดๆ เขินๆ ท่านไม่มีความทุกข์ความร้อนหรอก ท่านเสมอกันโดยความเป็นพระอรหันต์ ท่านเสมอกันด้วยคุณธรรมของท่าน ท่านเสมอกันด้วยอาสวักขยญาณในใจของท่าน ท่านเสมอกัน วิมุตติสุขมันมีคุณค่า

พระสีวลีก็ไม่ต้องการลาภสักการะเหมือนกัน พระสีวลีก็เป็นภาระเหมือนกัน แต่ในใจของท่านเป็นพระอรหันต์ เรามีเป้าหมายว่าสิ้นสุดแห่งทุกข์ พระอรหันต์ที่ว่าท่านจะขาดแคลน ท่านจะไม่อุดมสมบูรณ์ในทางปัจจัย ๔ ท่านก็มีความสุขของท่าน ท่านวิมุตติสุข ท่านไปขาดแคลนตรงไหน เห็นไหม มันเสมอกันด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง แต่ในสายตาของเราไปมองที่ลาภสักการะ ไปมองเครื่องเคียงไง ไปมองเครื่องประดับไงว่าใครมีประดับมากประดับน้อยไง ก็เลยเข้าไม่ถึงธรรมไง ก็เลยเข้าไม่ถึงสัจจะความจริงไง ถ้าเข้าถึงสัจจะความจริง เราพยายามทำของเรา เราต้องการพระประเสริฐ ต้องการพระที่มีคุณธรรม แล้วพระนี้มันอยู่ในหัวใจของเราไง

เราอยู่ในบ้านนะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ให้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มาเราค้นคว้าขึ้นมา เราจะเอาพระอรหันต์ในใจของเรา เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามความเป็นจริง ถ้าเราทำสมาธิได้ เราเห็นร่องเห็นรอย เห็นเงา แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะเข้าใจว่าสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา โอ้โฮ! มันซาบซึ้งมาก มันซาบซึ้งมาก แล้วมันจะเข้าไง แล้วพอเข้าแล้ว ผู้ใหญ่มองเด็กมันก็ไม่เคอะไม่เขิน เด็กมันต้องมีความคิดอย่างนี้ พอโตขึ้นมา มีประสบการณ์ขึ้นมา มันจะเข้าใจสังคมมากขึ้น พอมันแก่มันเฒ่าขึ้นมา คงแก่เรียน

หัวใจก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติใหม่ๆ ก็ล้มลุกคลุกคลานอย่างนั้นแหละ เราก็เป็นอย่างนั้นมาก่อน ถ้าเราเป็นอย่างนั้นมาก่อน เราเห็นผู้ที่ปฏิบัติใหม่เขาเป็นอย่างนั้นเราก็สังเวช เราก็น่าเห็นใจเขา ถ้าเห็นใจเขา แต่เขาปฏิบัติแล้วเขาก็ต้องพัฒนาขึ้นมาใช่ไหม

มันจะบอกโตขึ้นมาก็เป็นโอปปาติกะ เกิดมาก็โตเลย มันไม่มีหรอก เกิดมาก็โตเลยเป็นโอปปาติกะ แต่ก็มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหมเกิดมาโอปปาติกะ เวลาเกิดมาก็โตเลย ไม่ต้องเป็นเด็กไง แต่เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ใจเขาไม่โต

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วเราเห็นเรื่องโลกเขามันเป็นพื้นฐานเบสิกที่เขาจะต้องให้มันมั่นคงแน่นหนาขึ้นมา แล้วถ้าปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา เห็นไหม เราต้องการพระแท้ วันนี้วันพระ เราตั้งสัจจะนะ เราปฏิบัติ เราอยู่ในป่า วันพระวันโกนเนสัชชิก วันพระวันโกนเนสัชชิก ไม่นอนเป็นเรื่องปกตินะ เรื่องภาวนา เวลาเนสัชชิกไม่นอนเป็นเรื่องปกติ แล้ววันนี้วันพระ แล้วมันมีภาวะแวดล้อมมันสะเทือนหัวใจเรา เราเห็นภัยในวัฏสงสารไหม เราเห็นโทษเห็นภัยมันไหม

เราเห็นโทษเห็นภัย เวลามันล่วงไปๆ ครูบาอาจารย์ก็ล่วงไปหมดแล้ว แล้วผู้ที่จะคอยบอกความถูกความผิดของเรามันอยู่ที่ไหน ทำไมเราไม่ขวนขวายของเรา ทำไมเราไม่ทำของเรา ทำจริงทำจังขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา นี่วันพระผู้ประเสริฐ ให้ประเสริฐในหัวใจของเรา เอวัง